EA ได้มีการแถลงข่าวถึงการหยุดการพัฒนาเป็นการชั่วคราวของ Need For Speed เพื่อเปิดทางให้ Criterion สตูดิโอที่มีส่วนรับผิดชอบ ได้ไปช่วยเหลือ EA DICE ในการพัฒนา Battlefield 6 ล่าสุดนี้ ทาง EA ได้มีการให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวเกมส์ Polygon โดยได้มีการให้ข้อมูลว่า Need For Speed ภาคใหม่นั้นจะหยุดการพัฒนาลงไปเป็นเวลาหนึ่งปี เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 และการซื้อกิจการ Codemasters สตูดิโอผู้ผลิตเกมส์ขับรถชื่อดังในช่วงที่ผ่านมา รวมไปถึงเพื่อเปิดทางให้ Criterion นั้นได้ไปช่วยเหลือในการพัฒนา Battlefield 6
ก่อนหน้านี้ทาง EA ได้มีการประกาศยืนยันแล้วว่า NFS
ภาคใหม่นี้จะได้รับการพัฒนาโดยทาง Criterion และจะวางจำหน่ายภายในช่วงปี 2023 นอกจากนี้ยังรวมไปถึงในส่วนของน้องใหม่อย่าง Codemasters ที่ก็ได้รับงานผลิตเกมส์ใหม่ที่จะมาในช่วงปี 2022 นี้
โดยทาง Criterion นั้นได้รับมอบหมายให้ทำการพัฒนาซีรีส์ NFS เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา ขณะที่ทาง Ghost Games ที่กำกับพัฒนาเกมส์ในซีรีส์มาแล้ว 3 เกมส์นั้น ได้ถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้กลายเป็นสตูดิโอสนับสนุนการพัฒนาสำหรับเกมส์ต่าง ๆ ของ EA แทน
นอกจากนี้แล้วทาง Criterion เองก็เคยมีประวัติในการร่วมงานกับทาง EA DICE มาแล้วหลายเกมส์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Star Wars Battlefront reboots ทั้ง 2 ภาคล่าสุด และ Battlefield 5 เป็นต้น
ซึ่ง Laura Miele ประธานผู้จัดการทางด้านสตูดิโอภายใต้การควบคุมของ EA ผู้ให้สัมภาษณ์นั้น ได้กล่าวถึงความคืบหน้าของ Battlefield 6 ไว้อีกว่า DICE Los Angeles ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Vince Zampella อดีตหัวหอกใหญ่ของ Infinity Ward และ Respawn Entertainment นั้น ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย โดยได้มุ่งเน้นไปที่การบริการของตัวเกมส์เป็นหลัก (Live Service)
ยังคงมีการรายงานอย่างต่อเนื่องว่าในปีนี้ (2021) iPhone SE จะยังคงไม่มา โดยมีการมองกันว่ามันจะมาภายในปี 2022 ซึ่งจะมาพร้อมการพัฒนาเพิ่มเติมของอุปกรณ์อีกด้วย เนื่องด้วยความสำเร็จของ iPhone SE 2020 ทำให้หลายคนตั้งตารอคอยว่ามันจะมีโผล่มาภายในปีนี้ แต่ก็มีการรายงาน และข่าวลือหลุดออกมาอย่างต่อเนื่องว่ามันจะยังไม่มา และมีความเป็นไปได้มากกว่าที่มันจะมาภายในปี 2022 โดยจะมาพร้อมการพัฒนาเพิ่มเติมให้ตัวเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงรุ่นปกติ และรองรับ 5G อีกด้วย
Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ IT ที่เกี่ยวข้องกับ Apple ได้มองว่า SE นั้นจะมาพร้อมการอัปเกรด Chipset และการรองรับ 5G ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่จะมีการใช้งานหน้าจอแบบ Punch-Hole กับตัวรุ่นสมาร์ทโฟนที่จะออกมาในปี 2022 โดยก็มันจะยังคงรูปลักษณ์ และตัวหน้าจอที่มีความคล้ายคลึงกับตัวรุ่นปี 2020
ในความคล้ายคลึงนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่โดยหลักแล้วเราอาจจะยังได้เห็นหน้าจอ IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้ว พร้อมด้วยปุ่ม Home ในส่วนของการอัพเกรดแล้วนั้น มีความเป้นไปได้ว่าจะใมีการใช้งานตัวชิปโมเด็ม Snapdragon X55 5G พร้อมด้วยชิปประมวลผล A14 Bionic ที่แม้ถือว่าเก่าแต่ก็ถูก และประหยัดเงินในการผลิตอีกด้วย
มีการคาดการณ์ว่าราคาของมันจะอยู่ที่ประมาณ 399 ดอลลาร์ (12,061.70 บาท) หรือตามราคาตลาดของ SE 2020 และเป็นไปได้ที่จะมีการลดราคาของตัวรุ่นปี 2020 ลง ตราบเท่าที่ Apple ยังคงการผลิตในรุ่นนั้นอยู่
DxOMark ให้คะแนนกล้อง Samsung Galaxy S21 Ultra น้อยกว่า S20 Ultra
ถือว่ามีอายุการใช้งานมาซักพักใหญ่แล้วกับตัว Samsung Galaxy S21 Ultra เป็นปกติที่สมาร์ทโฟนนั้นจะถูกนำมาทดสอบการใช้งานของกล้อง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจุดประสงค์การใช้งานในปัจจุบัน โดยผู้ที่ทำการทดสอบนั้นคือ DxOMark บริษัททดสอบชื่อดัง ที่ผลออกมานั้นมันกลับทำคะแนนได้น้อยกว่า iPhone 12 mini เสียอีก
สเปคกล้อง ของ Galaxy S21 Ultra
กล้องหลัก ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1/1.33″, 0.8μm, ระยะ 26 mm-equivalent รูรับแสงขนาด f/1.8 มี OIS, PDAF
กล้อง Ultra-wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1/2.55″, 1.4μm, ระยะ 13 mm รูรับแสงขนาด f/2.2 ระบบโฟกัส Dual-Pixel AF
กล้องซูม 1 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1/3.24″, 1.22μm, ระยะ 70 mm รูรับแสง f/2.4-ระบบโฟกัส Dual-Pixel AF, OIS
กล้องซูม 2 ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1/3.24″, 1.22μm ระยะ 240 mm รูรับแสงขนาด f/4.9 ระบบโฟกัส Dual-Pixel AF, OIS, LED flash
การถ่ายวิดีโอรองรับ 4320p/24 fps, 2160p/60/30 fps (2160p/60 fps tested), HDR10+
จากผลการทดสอบนั้น S21 Ultra มีจุดเด่นในส่วนของ Dynamic Range ที่อยู่ในระดับที่ดี, ระบบการซูม และการปรับแสงก็ทำออกมาได้เนียน, สมดุลแสงสีขาว หรือ White Balance นั้นก็มีความเสถียร และท้ายที่สุด ระบบการซูมนั้นมีความแม่นยำทั้งในการใช้งานถ่ายภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ สมกับที่เป็นสมาร์ทโฟนชูโรงที่ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี
แต่เมื่อนำไปเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันแล้วนั้น DxOMark ก็ได้รายงานว่า Samsung นั้นยังไม่สามารถสู้ได้อย่างสูสีซักเท่าไหร่ โดยคะแนนนั้นถือว่าน้อยกว่า Huawei P40 Pro และ iPhone 12 Pro Max อีกทั้งเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง S20 Ultra แล้ว กลับทำคะแนนได้น้อยกว่าเดิมไปอีก
แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น